วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2550

ตลาดน้ำยามเย็น...อัมพวา



ถึง….เพื่อน

“น้ำทะเลยังคงมีขึ้นมีลงฉันใด ชีวิตคนเราก็มีขึ้นมีลงฉันนั้น ปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นได้กับทุกคนตลอดเวลา ค่อยๆ แก้ปัญหาไปสักพักมันก็จะมีทางออกของมันเอง ขอเพียงเธอไม่ย่อท้อ สู้ มีกำลังใจ วันพายุฝนเมฆดำก็จะผ่านพ้นเป็นวันฟ้าใส ในไม่ช้า ฉัน…เพื่อนคนหนึ่งของเธอจะขอเป็นกำลังใจให้นะ “




เธอคง งง!!ล่ะซิว่ามันเกี่ยวอะไรกับตลาดน้ำยามเย็น ….
เกี่ยวซิ ไม่งั้นก็คงไม่ได้ไปเที่ยวสมุทรสงครามหรอก

คือว่าพอดีเพื่อนของฉันคนหนึ่งช่วงนี้เขามีปัญหาชีวิต ฉันอยากให้เพื่อนสบายใจ คลายทุกข์ อยากให้กำลังใจก็เลยจะพาเขาไปพักผ่อน เมื่อสบายใจขึ้นมาบ้างก็จะได้มีพลังในการดำเนินชีวิตไง

ตอนเช้าวันเสาร์ก็เลยโทรไปชวนเขาว่าจะไปสมุทรสงครามไหม ซึ่งเขาก็ไม่ปฏิเสธ พวกเรา 5 คนก็เริ่มเดินทางในตอนสาย กว่าจะถึงสมุทรสงครามก็ใกล้เที่ยงพอดี ว่าจะไปกินข้าวเที่ยงที่ดอนหอยหลอดสักหน่อย ขับรถเข้ามาที่ตัวเมืองสมุทรสงครามเฉยเลย ก็เมื่อกี้เห็นป้ายทางซ้ายบอกอยู่ว่าไปดอนหอยหลอด ใยมาเข้าตัวเมืองแล้วขับออกมาทางอัมพวา ก็ไม่เป็นไร เพราะเพื่อนฉันเขาจะมาหาคุณครูที่สอนสมัยมัธยมที่อัมพวาพอดี ฉันว่าดีจังนะ ยังติดต่อคุณครูอยู่สอนตั้งแต่สมัยมัธยมแน่ะ พวกเราเลี้ยวรถเข้ามาที่วัดช่องลมเพราะคุณครูสอนอยู่ที่โรงเรียนวัดช่องลม วัดช่องลมนี้มีเจดีย์ไห อายุกว่า 100 ปี

ฉันสงสัยจังว่าทำไมต้องเอาไห มาสร้างเป็นเจดีย์

คุณครูเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนปูนซิเมนต์มีราคาแพงจะได้ประหยัดไม่ต้องใช้ปูนเยอะ แล้วที่เห็นว่าบางลูกมีรอยทุบแตก ก็เพราะว่าคนสมัยก่อนเขาเก็บทรัพย์สมบัติมีค่าไว้ในไห ชาวบ้านก็เลยมาทุบไหเพื่อเอาของมีค่าไป

คุณครูพาเดินลอดเข้าไปภายในเจดีย์ด้วย คุณครูเล่าว่า สมัยก่อนเจดีย์ไหแห่งนี้ เป็นสถานที่ ที่หลวงปู่บ่ายซึ่งเป็น พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดสมุทรสงคราม ใช้เป็นที่นั่งวิปัสสะนากัมฐาน จนมีฌานแก่กล้า อาคมเข้มขลัง คุณครูพาเราชมเจดีย์ไหได้อย่างเดียวเพราะว่าคุณครูติดธุระ ว้า… เสียดายจังเลยไม่ได้คนพื้นที่พาเที่ยวเลย แต่แค่นี้ก็ขอขอบคุณครูมากค่ะ

ก่อนออกจากวัดเพื่อนฉันบอกว่า ขอแวะถวายสังฆทานก่อนเพราะว่าเตรียมมาด้วย ฉันว่านะ การทำบุญทำทานก็ช่วยทำให้เราสบายใจขึ้นเหมือนกันนะ เพราะเวลาฉันมีเรื่องมีปัญหา ไม่สบายใจ ฉันก็จะทำบุญ เลี้ยงอาหารปลา แล้วก็กลับมาสู้กับปัญหาใหม่

จ๊อกๆๆๆ ท้องร้องแล้วล่ะ ไปทานอาหารกันเถอะ พวกเราขับรถไปทานอาหารที่ร้านครัวแม่อุไร ซึ่งไม่ไกลจากวัดเท่าไร เป็นร้านอาหารริมแม่น้ำแม่กลอง บรรยากาศเย็นสบาย ลงนั่งปั๊บก็สั่งอาหารทันที เจ้าลูกชายคนโตของเพื่อนก็ไม่รอช้า สั่งก่อนเพื่อนเลยว่า เอาปลาหมึกชุบแป้งทอด ปลาหมึกนึ่งมะนาว ฉันว่าหลานต้องชอบกินปลาหมึกแหงๆ สั่งปลาหมึกทั้งสองอย่างเลย เมื่อมาแม่กลองแล้วที่พลาดไม่ได้ก็ต้องเป็น ปลาทู แล้วก็หอยหลอด ฉันหิวมากไม่ทันได้ถ่ายรูปหน้าตาอาหารมาให้เธอดูเลย มาคิดได้อีกทีว่าจะถ่ายรูปอาหารก็หมดเกลี้ยงจานซะแล้ว

ที่นี่เขามีบริการบ้านพักด้วยนะ มีทั้งบ้านพักที่ติดริมแม่น้ำแล้วก็บ้านพักในสวน มีบริการล่องเรือเที่ยว ล่องเรือชมหิ่งห้อย พนักงานของร้าน บอกว่าเป็นเรืออีป้าบ น่าจะเขียนถูกนะ เขาบอกว่าคล้ายเรือหางยาว มีหลังคาด้วย หรือว่ามันคือเรือหางยาวแล้วใส่หลังคา

เอ.. ไม่รู้เหมือนกัน

ครั้งนี้พวกเราคงไม่ได้ชมหิ่งห้อยเพราะมาเช้าเย็นกลับ ก็ไว้คราวหน้าแล้วกัน แต่ฉันเคยมาชมแล้วครั้งหนึ่งนะ ล่องเรือตอนกลางคืนชมหิ่งห้อยที่เกาะแถวต้นลำพูริมน้ำ ฉันว่านะ บางต้นเหมือนต้นคริสต์มาสที่เขาเปิดไฟกะพริบ สวยดี ต้นใหญ่บ้างเล็กบ้าง
คราวหน้าถ้าจะมาพักฉันอยากมาพักแบบชาวบ้านๆ พายเรือในลำคลอง ใส่บาตรตอนเช้าริมคลอง เล่นน้ำริมคลองอะไรประเภทนี้ แต่ก็ยังไม่รู้เลยมีที่พักที่ไหน เพราะว่าเห็นโฮมสเตย์ สมัยปัจจุบันนี้เข้าใกล้รีสอร์ตไปทุกที หรือว่าฉันจะเข้าใจนิยามคำว่าโฮมสเตย์ผิด

เมื่อทานอาหารเสร็จพวกเราก็เดินทางต่อไปที่อุทยาน ร.๒ ซึ่งไม่ไกลจากที่เดิม จากที่พนักงานของร้านครัวแม่อุไรบอกว่าแค่ 5 นาทีก็ถึง แต่ฉันก็ไม่ได้จับเวลาซะด้วยซิว่ามันใกล้แค่ 5 นาทีถึงหรือเปล่า พวกเราต้องจ่ายค่าเข้าชมก่อนซึ่งผู้ใหญ่ราคา 20 บาท เด็กก็ราคา 5 บาท จากนั้นก็เดินเท้าเข้าไปชมความงามท่ามกลางร่มไม้อันร่มรื่น มีสนามหญ้าอันเขียวขจี ถ้าได้นอนเอกเขนกสักพักบนสนามหญ้าใต้ต้นไม้ก็คงดีไม่น้อย

ฉันเคยมาที่นี่แล้ว 2 ครั้งเห็นจะได้ ว่าจะพาเพื่อนไปชมอาคารทรงไทยที่เคยมาชมแล้ว ซึ่งเขาจัดไว้อย่างสวยงามเลยเชียวล่ะ แต่ตอนนี้เขาทำการซ่อมแซมปรับปรุงอยู่ เลยอดชมเลย แต่เมื่อเดินไปสักหน่อยก็เจออาคารทรงไทยหลังใหม่ ซึ่งจัดได้สวยงามไม่แพ้กัน แต่ฉันชอบอาคารทรงไทยอาคารเดิมมากกว่า

ออกจากอาคารหลังใหม่มาก็จะเจอชาลาวันกับไกรทองเป็นรูปปูนปั้นตั้งอยู่ในน้ำ เธอรู้หรือเปล่าว่าเกี่ยวกันยังไงถึงมีการสร้างไว้ในอุทยาน ฉันเห็นมีป้ายติดเขียนเป็นกลอนไว้ด้วย หรือว่าเรื่องไกรทองจะเป็นพระนิพนธ์ของรัชกาลที่สอง ที่ใกล้ๆ รูปชาลาวันกับไกรทองมีอาหารปลาไว้บริการด้วย ใครจะเลี้ยงปลาก็หยอดเงินใส่ตู้ ซึ่งเขาคิดราคาถุงละ 10 บาท แล้วก็เพื่อความสบายใจฉะไหนเลยฉันจะพลาดได้ พอโยนอาหารปลาไปมีแต่ปลาตัวใหญ่ทั้งนั้นเลย เยอะด้วย ให้อาหารปลาเสร็จพวกเราก็เดินไปที่ท่าน้ำ ชมแม่น้ำแม่กลองที่ไหลเรื่อย รับลมเย็นๆ ริมน้ำ

เล่าให้ฟังก็ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะพาไปตลาดน้ำยามเย็นสักที


จ้า ฉันจะพาเธอไปแล้ว ก็เป็นตลาดน้ำยามเย็นนี่นา จะรอเที่ยวตลาดน้ำอย่างเดียวก็ยังไงอยู่ ก็ไปเที่ยวที่อื่นก่อนจนเย็นค่อยเดินตลาดไงจ๊ะ พวกเราขับรถกลับมาจอดไว้ที่วัดอัมพวันใกล้ๆ กับอุทยาน ร.๒ ตลาดน้ำยามเย็นก็อยู่ใกล้ๆกับวัดนั้นแหละจะ ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือว่า ตลาดน้ำอัมพวานี้จะมีกันเฉพาะวันขึ้นหรือแรมกี่ค่ำนี่ล่ะ แต่นานมาแล้วนะ มาปัจจุบันนี้มีทุกเสาร์ อาทิตย์



ตลาดน้ำนี้มีของกินเยอะมากเลย ตั้งแต่ปากทางเข้าตลาดบนบก ร้านบนบกที่ติดริมน้ำ จนถึงเรือที่จอดขายอาหารริมตลิ่ง มีแต่ของน่ากินทั้งนั้น แต่ยังไม่ได้ซื้ออะไรกินได้แต่หมายตาเอาไว้ก่อน เพราะว่าถ้าขืนซื้อตั้งแต่ปากทางเข้าคงกินไม่ไหวแน่ๆ เริ่มแรกก็ขอดื่มน้ำก่อนแล้วกัน ฉันซื้อน้ำสีม่วงอ่อนมาดื่ม เธอว่าเป็นน้ำอะไรจ๊ะ ติ๊กตอก ๆๆ ทายถูกไหมเอ่ย ก็น้ำดอกอัญชันไง

ฉันกวาดสายตามองอาหารที่ขายอยู่ในเรือริมตลิ่งแล้ว อยากกินทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็น กุ้งเผา กุ้งทอด ปลาหมึกย่าง ผัดไท หอยทอด หมูสเต๊ะ ทอดมันหัวปลี ก๋วยเตี๋ยวเรือ ก๋วยเตี๋ยวหมู และอีกหลายอย่าง เป็นไงเธอ น้ำลายจะไหลแล้วซิ กลืนไปก่อนนะจ๊ะ
เพราะว่ายังมีของหวานอีกสารพัดเลย ไม่ว่าจะเป็น ลอดช่อง ข้าวเหนียวเปียก ข้าวเหนียวมะม่วง ลูกชุบ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง แล้วก็อีกหลากหลายอย่าง ของแบบนี้ต้องไปดูเองชิมเองถึงจะได้รสชาติ แล้วมีโอกาสเมื่อไหร่จะพาเธอไปนะ

ตลาดที่นี่ไม่ใช่จะมีแต่อาหารนะ ประเภทของที่ระลึกก็มี มีร้านขายรูป ขายโปสการ์ดด้วย ร้านเขาจัดได้น่ารักมาก มีแต่รูปสวยๆ ทั้งนั้นเลย ดนตรีก็มีให้ฟังด้วย เป็นประเภทเล่นดนตรีเปิดหมวกไง

ฉันเห็นยายคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ กับคนสีไวโอลิน ฉันเลยเข้าไปถ่ายรูปยายกับคนสีไวโอลิน พอฉันกำลังจะเดินออกมายายพูดว่า

“ถ่ายรูปฉันเหรอ สวยตายล่ะ”

พร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ ของยาย ฉันเลยคุยกับยาย ยายบอกว่าเมื่อก่อนยายขายมะพร้าว แต่ขายไม่ดี เลยมาขอทาน ยายบอกกับฉันตรงๆ เลยหรือนี่ ฉันก็เลยให้เงินยายไป บอกยายว่าเอาไว้ซื้อข้าวกินนะคะ

พวกเราเดินไปเกือบสุดตลาดก็เจอกับดนตรีเปิดหมวกอีกหนึ่ง กำลังตระเตรียมสถานที่และเครื่องดนตรี คราวนี้มีสองคน คนหนึ่งเล่นกีตาร์ อีกคนหนึ่งเล่นแบนโจ พวกเรานั่งฟังอยู่หลายเพลง ฟังแล้วไพเราะ เพลินดี แล้วก็สนุก สบายใจด้วย แต่คงนั่งนานกว่านี้ไม่ได้ เดี๋ยวจะมืดค่ำก่อน

ที่ตลาดนี้มีบริการให้เช่าเรือไปเที่ยวด้วย เจ้าลูกสาวคนเล็กของเพื่อนอยากนั่งเรือเที่ยว พวกเราก็เลยเช่าเรือหางยางลำหนึ่ง เขาคิดเหมาไป 400 บาท เมื่อลงเรือแล้ว นายท้ายเรือบอกว่าใส่เสื้อชูชีพด้วยครับ ฉันว่า ดีนะที่เขาคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสาร ดังนั้น ถ้าจะให้ปลอดภัยจริงผู้โดยสารก็ควรปฏิบัติตามที่เขาบอกด้วย

เรือหางยาวแล่นไปตามลำน้ำแม่กลอง สองฝากฝั่งเป็นบ้านเรือนเก่าบ้าง ใหม่บ้าง มีต้นไม้ มีสวนผลไม้ โดยเฉพาะสวนลิ้นจี่นั้น ตอนนี้กำลังออกลูกสีแดงน่ากินเชียว มีหนุ่มสาวนั่งจับกลุ่มคุยหยอกล้อเล่นกันสนุกสนาน มีลุงใส่ผ้าขาวม้าอาบน้ำอยู่ริมตลิ่ง มีสุนัขนอนเล่นอยู่บนเรือน มีคุณลุงคุณป้านั่งตกกุ้งอยู่ในเรือ มีครอบครัวนั่งย่างกุ้งอยู่ริมระเบียง คุณพี่เขาโชว์กุ้งทักทายพวกเราด้วย

จุดแรกที่นายท้ายเรือพา
พวกเราแวะก็คือ วัดอินทาราม พวกเราขึ้นไปไหว้พระ กราบหลวงพ่อโต เสร็จจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่ค่ายบางกุ้ง ซึ่งมีความสำคัญในอดีต คือเป็นที่ตั้งค่ายรับศึกทัพพม่าเป็นครั้งแรก หลังจากที่พระเจ้าตากสินมหาราชกู้เอกราช จึงมีการสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราชไว้ที่นี่ ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์มีโบสถ์เก่าแก่ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือ โบสถ์ทั้งหลังปกคลุมด้วยต้นไม้สี่ชนิด คือ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร ต้นกร่าง ชาวบ้านเรียกกันว่าโบสถ์ปกโพธิ์ พวกเราได้เข้าไปกราบพระ ปิดทองพระ เพื่อเป็นสิริมงคล จุดต่อไปนายท้ายเรือบอกว่าจะพาไปวัดบางแคน้อย แต่ว่าใกล้จะค่ำแล้ว พวกเราจึงไม่ได้แวะ แต่ฉันเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง ภายในผนังโบสถ์มีภาพอันสวยงานเกี่ยวกับเรื่องราวในพุทธประวัติ

ก่อนที่พวกเราจะเดินทางกลับ ก็ไม่ลืมที่จะซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วย ที่พลาดไม่ได้ก็ปลาทูแม่กลอง เพื่อนฉันอีกคนที่ไปด้วยกัน บอกว่า มันเป็นปลาทูหน้างอคอหัก เขาเรียกกันทั่วไปหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูลักษณะปลาทูแล้วก็หน้างอคอหักจริงๆ นั้นแหละ ช่างเรียกจริงๆ นะ แล้วก็ซื้อหอยหลอดสามรส ซื้อทองม้วน ซื้อขนมนางเล็ด ซื้อส้มโอ มาฝากคนทางบ้าน


เป็นไงจ๊ะอยากไปใช่ไหมล่ะ ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็บอกฉันนะ ถ้าฉันว่างด้วยแล้วฉันจะพาไป

คิดถึงเพื่อน
ตะแบก

ปล. ฉันอัดเสียงแบนโจกับกีตาร์มาฝากด้วยจ้า

banjosong_amphava....

3 ความคิดเห็น:

BowvyR กล่าวว่า...

ใส่รูปได้สวยจังค่ะ ของ MeOmee ทำไม่ได้แบบนี้เลยหล่ะ ไม่ก็ซ้าย กลาง ขวา ไปเลย ดูไม่สวย ไม่ทราบว่าทำยังไงหรอคะ เด๋วจะเอาไปใช้ม่าง

หรือว่าใส่ตามในบทความเลย เด๋วลองดูมั่งดีก่า คิดว่าจะวางรูปไม่ได้แบบนี้แล้วเชียว

ดูในบล็อกแล้ว ถ้าขึ้นบรรทัดใหม่บ่อย ๆ หมายถึง เว้นวรรคให้เห็นเป็นย่อหน้า เวลาอ่านแล้วไม่เหนือ่ยค่ะ

Siwaporn กล่าวว่า...

ขอบคุณคุณ meomee ที่แนะนำสิ่งดีๆ ให้ ได้ทำการปรับปรุงแล้วค่ะ

toppercool กล่าวว่า...

ขอชมวิธีการจัดรูปแบบวางภาพด้วยอีกคน ทำให้เนื้อหาอ่านแล้วดูไม่อึดอัดดีครับ อยากไปตลาดน้ำอำพวาอยู่พอดีกำลังนัดเพื่อนได้ ไอเดียดีเลยครับ ขอบคุณที่แนะนำนะ ครับ